tag:blogger.com,1999:blog-16495319432811545702023-11-15T07:52:56.206-08:00หลักภาษาไทยนำชัย-วสันต์http://www.blogger.com/profile/03694417100975162525noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-1649531943281154570.post-67336700308603746162010-09-07T20:20:00.000-07:002010-09-07T20:21:01.566-07:00ลักษณะสำคัญของภาไทย<span style="color: red;"><u>ลักษณะสำคัญของภาษาไทย</u></span> <br />
<br />
<br />
<br />
<span style="background-color: white; color: magenta;">ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีลักษณะเป็นของตนเองและมีความแตกต่างจากภาษาอื่นที่นำมาใช้ในภาษาไทย การใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องรู้จักภาษาไทยให้ดีเพื่อใช้ถ้อยคำได้อย่างถูกต้องตามลักษณะภาษาไทย</span> <br />
<br />
<br />
<br />
<span style="color: blue;">ลักษณะสำคัญของภาษาไทย มีดังต่อไปนี้</span><br />
<br />
<br />
<br />
<span style="color: magenta;">ภาษาไทยเป็นภาษาคำโดด กล่าวคือ เป็นภาษาที่มีคำใช้โดยอิสระไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคำเพื่อบอกเพศ พจน์ กาล เมื่อต้องการแสดงเพศ พจน์ กาล จะใช้คำอื่นมาประกอบหรืออาศัยบริบท ดังนี้ </span><br />
<span style="color: magenta;"><br />
</span><br />
<span style="color: magenta;">การบอกเพศ คำบางคำอาจบ่งชี้เพศอยู่แล้ว เช่น พ่อ หนุ่ม นาย พระ เณร ปู่ ลุง เขย เป็นเพศชาย ส่วนแม่ หญิง สาว ชี ย่า ป้า สะใภ้ เป็นเพศหญิง การบอกเพศนั้นจะนำคำมาประกอบเพื่อบอกเพศ เช่น ลูกเขย ลูกสะใภ้ แพทย์หญิง ช้างพลาย นางพยาบาล บุรุษพยาบาล เป็นต้น</span><br />
<br />
<br />
<br />
การบอกพจน์ คำไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคำเพื่อบอกจำนวน แต่จะใช้คำมาประกอบเพื่อบอกคำที่เป็นจำนวนหรือใช้คำซ้ำเพื่อบอกจำนวน เช่น <br />
<br />
<br />
<br />
เธอเป็น โสด บ้าน หลายหลังถูกไฟไหม้ <br />
<br />
<br />
<br />
ลูก มากจะยากจน เด็กๆ วิ่งเล่นอยู่หน้าบ้าน<br />
<br />
<br />
<br />
การบอกกาล ได้แก่ การบอกเวลาในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จะใช้คำมาประกอบคำกริยาโดยไม่มีการเปลี่ยนคำกริยา เช่น<br />
<br />
<br />
<br />
พ่อได้ไปหาคุณย่ามา แล้ว (บอกอดีตกาล) <br />
<br />
<br />
<br />
เมื่อปีกลายนี้ฉันไปฝรั่งเศส (บอกอดีตกาล)<br />
<br />
<br />
<br />
เขา กำลังมาพอดี (บอกปัจจุบันกาล)<br />
<br />
<br />
<br />
เดี๋ยวนี้เขายังอยู่ที่หัวหิน (บอกปัจจุบันกาล)<br />
<br />
<br />
<br />
พรุ่งนี้ฉันจะไปหาเลย (บอกอนาคตกาล)<br />
<br />
<br />
<br />
ตอนเย็นเธอมาหาฉันนะ (บอกอนาคตกาล) <br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
คำไทยแท้ส่วนมากมีพยางค์เดียวและมีความหมายสมบูรณ์ในตัวฟังแล้วเข้าใจได้ทันที เช่น <br />
<br />
คำเรียกเครือญาติ พ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง ลุง อา น้า ปู่ ตา ย่า ยาย <br />
<br />
<br />
<br />
คำเรียกสิ่งของ โต๊ะ อ่าง ขวด ถ้วย จาน ชาม ไร่ นา บ้าน มีด<br />
<br />
<br />
<br />
คำเรียกชื่อสัตว์ หมา แมว หมู หมา กา ไก่ งู วัว ควาย เสือ ลิง<br />
<br />
<br />
<br />
คำเรียกธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ ร้อน หนาว เย็น<br />
<br />
<br />
<br />
คำสรรพนาม ท่าน ผม เธอ เรา สู เจ้า อ้าย อี<br />
<br />
<br />
<br />
คำกริยา ไป นั่ง นอน กิน เรียก<br />
<br />
<br />
<br />
คำลักษณะนาม ฝูง พวก กำ ลำ ต้น ตัว อัน ใบ<br />
<br />
<br />
<br />
คำขยายหรือคำวิเศษณ์ อ้วน ผอม ดี เลว สวย เก่า ใหม่ แพง ถูก<br />
<br />
<br />
<br />
คำบอกจำนวน อ้าย ยี่ สอง หนึ่ง พัน ร้อย แสน ล้าน มาก น้อย<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<span style="background-color: white; color: purple;">ข้อสังเกต **คำที่มีมากพยางค์มักไม่ใช่คำไทยแท้ มีมูลรากมาจากภาษาอื่น</span><br />
<br />
<br />
<br />
**ภาษาไทยอาจมีคำมากพยางค์ได้โดยวิธีการปรับปรุงศัพท์ โดยนำวิธีการลงอุปสรรคประกอบหน้าคำอย่างภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย ความหมายยังคงเดิม แต่กลายเป็นคำมากพยางค์ เช่น ประเดี๋ยว ประท้วง อีกวิธีหนึ่งคือ การกลายเสียงซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของภาษา เช่น มะม่วง กลายเป็น หมากม่วง<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
คำไทยแท้มีตัวสะกดตรงตามมาตราตัวสะกด มาตราตัวสะกดมี 8 มาตรา คำไทยจะสะกดตรงตามมาตราตัวสะกดและไม่มีการันต์ เช่น <br />
<br />
มาตราแม่กก ใช้ ก สะกด เช่น มาก จาก นก จิก รัก<br />
<br />
<br />
<br />
มาตราแม่กด ใช้ ด สะกด เช่น กัด ตัด ลด ปิด พูด <br />
<br />
<br />
<br />
มาตราแม่กบ ใช้ บ สะกด เช่น จับ จบ รับ พบ ลอบ<br />
<br />
<br />
<br />
มาตราแม่กน ใช้ น สะกด เช่น ขึ้น อ้วน รุ่น นอน กิน<br />
<br />
<br />
<br />
มาตราแม่กง ใช้ ง สะกด เช่น ลง ล่าง อ่าง จง พุ่ง แรง<br />
<br />
<br />
<br />
มาตราแม่กม ใช้ ม สะกด เช่น ลาม ริม เรียม ซ้อม ยอม<br />
<br />
<br />
<br />
มาตราแม่เกย ใช้ ย สะกด เช่น ยาย โรย เลย รวย เฉย<br />
<br />
<br />
<br />
มาตราแม่เกอว ใช้ ว สะกด เช่น ดาว เคียว ข้าว เรียว เร็ว<br />
<br />
<br />
<br />
คำที่มีมาตราตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด จะเป็นคำที่เป็นภาษาอื่นที่ยืมมาใช้ในภาษาไทย และบางคำยังมีการใช้ตัวการันต์เพื่อไม่ต้องออกเสียงพยัญชนะตัวนั้นอีกด้วย เช่น<br />
<br />
<br />
<br />
ภาษาบาลี มัจฉา อังคาร อัมพร ปัญญา<br />
<br />
<br />
<br />
ภาษาสันสกฤต อาตมา สัปดาห์ พฤศจิกายน พรหม<br />
<br />
<br />
<br />
ภาษาเขมร เสด็จ กังวล ขจร เผอิญ<br />
<br />
<br />
<br />
ภาษาอังกฤษ ฟุต ก๊าซ ปอนด์ วัคซีน<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
ภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์ วรรณยุกต์ต่างกันทำให้ระดับเสียงต่างกันและคำก็มีความหมายต่างกันด้วย การที่ภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์ทำให้ภาษาไทยมีลักษณะพิเศษ คือ <br />
<br />
ภาษาไทยขยายตัวทำให้มีคำใช้มากขึ้น เช่น <br />
<br />
ขาว ข่าว ข้าว เสือ เสื่อ เสื้อ<br />
<br />
<br />
<br />
ภาษาไทยมีระดับเสียงสูงต่ำ ทำให้เกิดความไพเราะ ดังเห็นได้ชัดในบทร้อยกรอง <br />
<br />
ภาษาไทยมีพยัญชนะที่มีพื้นเสียงต่างกัน เป็นอักษรสูง อักษรกลาง อักษรต่ำ และมีเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน เป็นเสียงสามัญ เอก โท ตรี และจัตวา เป็น 5 ระดับเสียง ทำให้เลียนเสียงธรรมชาติได้อย่างใกล้เคียง <br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
การสร้างคำ คำไทยเป็นคำพยางค์เดียวจึงไม่พอใช้ในภาษาไทย จึงต้องมีการยืมภาษาต่างประเทศมาใช้ แล้วยังมีการสร้างคำใหม่ๆ ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การประสมคำ การซ้อนคำ การซ้ำคำ การสมาส เป็นต้น <br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
การเรียงลำดับคำในประโยค ภาษาไทยถือว่าการเรียงคำในประโยคมีความสำคัญมาก ถ้าเรียงคำผิดที่ความหมายของประโยคจะเปลี่ยนแปลงไป เพราะตำแหน่งของคำจะเป็นตัวระบุว่าคำนั้นมีหน้าที่และมีความหมายอย่างไร เช่น <br />
<br />
คนไม่รักดี ไม่รักคนดี<br />
<br />
<br />
<br />
พี่สาวให้เงินน้องใช้ น้องสาวให้เงินพี่ใช้<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
คำขยายในภาษาไทยจะเรียงหลังคำที่ถูกขยายเสมอ เว้นแต่คำที่แสดงจำนวนหรือปริมาณ จะวางไว้ข้างหน้าหรือข้างหลังคำขยายก็ได้ เช่น <br />
<br />
เขาเดิน เร็ว (คำขยายอยู่หลังคำถูกขยาย) <br />
<br />
<br />
<br />
เขาสวมเสื้อ สีฟ้า (คำขยายอยู่หลังคำถูกขยาย)<br />
<br />
<br />
<br />
มากหมอก็ มากความ (คำบอกปริมาณอยู่หน้าคำที่ขยาย)<br />
<br />
<br />
<br />
เขามาคน เดียว (คำบอกปริมาณอยู่หลังคำที่ขยาย)<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
คำไทยมีคำลักษณนาม ซึ่งเป็นคำนามที่บอกลักษณะของนามข้างหน้า ซึ่งคำลักษณนามมีหลายชนิด ได้แก่ ลักษณะนามบอกชนิด เช่น ขลุ่ย 2 เลา ลักษณนามบอกอาการ เช่น บุหรี่ 3 มวน ลักษณะนามบอกหมวดหมู่ เช่น ทหาร 5 หมวด <br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
ภาษาไทยมีวรรคตอนในการเขียนและมีจังหวะในการพูด หากแบ่งวรรคตอนไม่ถูกต้องความหมายจะไม่ชัดเจน หรือมีความหมายเปลี่ยนไป เช่น <br />
<br />
พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง หมายความว่า นิ่งเสียดีกว่าพูด<br />
<br />
<br />
<br />
พูดไปสองไพเบี้ย นิ่ง เสียตำลึงทอง หมายความว่า ยิ่งนิ่งยิ่งเสียมาก<br />
<br />
<br />
<br />
ภาษาไทยเป็นคำที่มีการใช้คำเหมาะสมกับบุคคลและโอกาส ลักษณะภาษาไทยในลักษณะนี้เป็นวัฒนธรรมทางภาษา และเป็นศิลปะของการใช้ภาษาโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นขนบธรรมเนียมการใช้ภาษาที่เรียกว่า “ คำราชาศัพท์”นำชัย-วสันต์http://www.blogger.com/profile/03694417100975162525noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1649531943281154570.post-28271274823517520202010-09-07T20:14:00.000-07:002010-09-07T20:14:20.188-07:00องค์ประกอบของภาษา<span style="color: red;"><u>องค์ประกอบของภาษา</u></span> <br />
<br />
<br />
<span style="background-color: white; color: magenta;">ภาษาทุกภาษาย่อมมีองค์ประกอบของภาษา โดยทั่วไปจะมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ</span><br />
<br />
<br />
<span style="color: blue;"><u>เสียง </u></span><br />
<br />
<span style="color: magenta;">นักภาษาศาสตร์จะให้ความสำคัญของเสียงพูดมกกว่าตัวเขียนที่เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะภาษาย่อมเกิดจากเสียงที่ใช้พูดกัน ส่วนภาษาเขียนเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนเสียงพูด คำที่ใช้พูดจากันจะประกอบด้วยเสียงสระ เสียงพยัญชนะและเสียงวรรณยุกต์ แต่บางภาษาก็ไม่มีเสียงวรรณยุกต์ เช่น บาลี สันสกฤต เขมร อังกฤษ</span> <br />
<br />
<br />
<span style="color: blue;"><u>พยางค์และคำ</u></span> <br />
<br />
<span style="background-color: white; color: magenta;">พยางค์เป็นกลุ่มเสียงที่เปล่งออกมาแต่ละครั้ง จะประกอบด้วย เสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ จะมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้</span><br />
<br />
<br />
<span style="color: magenta;">พยางค์แต่ละพยางค์จะมีเสียงพยัญชนะต้น ซึ่งเป็นเสียงที่อยู่หน้าเสียงสระ พยางค์ทุกพยางค์จะต้องมีเสียงพยัญชนะต้น เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ บางพยางค์ก็อาจมีเสียงพยัญชนะสะกดประกอบอยู่ด้วย เช่น</span><br />
<br />
<br />
<span style="color: #660000;">“ ปา” พยัญชนะต้น ได้แก่ เสียงพยัญชนะ /ป/</span><br />
<br />
<br />
<span style="color: #660000;">เสียงสระ ได้แก่ เสียงสระ /อา/</span><br />
<br />
<br />
<span style="color: #660000;">เสียงวรรณยุกต์ ได้แก่ เสียง /สามัญ/</span><br />
<br />
<br />
<span style="background-color: white; color: magenta;">ส่วนคำนั้นจะเป็นการนำเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์มาประกอบกัน ทำให้เกิดเสียงและมีความหมาย คำจะประกอบด้วยคำพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้</span> <br />
<br />
<br />
<span style="color: blue;"><u>ประโยค </u></span><br />
<br />
<span style="color: magenta;">ประโยค เป็นการนำคำมาเรียงกันตามลักษณะโครงสร้างของภาษาที่กำหนดเป็นกฎเกณฑ์หรือระบบตามระบบทางไวยากรณ์ของแต่ละภาษา และทำให้ทราบหน้าที่ของคำ </span><br />
<br />
<br />
<span style="background-color: white; color: blue;"><u>ความหมาย</u></span> <br />
<br />
<span style="color: magenta;">ความหมายของคำมี 2 อย่าง คือ</span><br />
<span style="color: magenta;"><br />
</span><br />
<span style="color: magenta;">(1) ความหมายตามตัวหรือความหมายนัยตรง เป็นความหมายตรงของคำนั้นๆ เป็นคำที่ถูกกำหนดและผู้ใช้ภาษามีความเข้าใจตรงกัน เช่น</span><br />
<span style="color: magenta;"><br />
</span><br />
<span style="color: magenta;">“ กิน” หมายถึง นำอาหารเข้าปากเคี้ยวและกลืนลงไปในคอ</span><br />
<span style="color: magenta;"><br />
</span><br />
<span style="color: magenta;">(2) ความหมายในประหวัดหรือความหมายเชิงอุปมา เป็นความหมายเพิ่มจากความหมายในตรง เช่น</span><br />
<span style="color: magenta;"><br />
</span><br />
<span style="color: magenta;">“ กินใจ” หมายถึง รู้สึกแหนงใจ </span><br />
<span style="color: magenta;"></span><span style="color: magenta;"><br />
</span><span style="color: magenta;">“ กินแรง” หมายถึง เอาเปรียบผู้อื่นในการทำงาน</span>นำชัย-วสันต์http://www.blogger.com/profile/03694417100975162525noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1649531943281154570.post-40277426336858792632010-09-07T19:21:00.000-07:002010-09-07T19:52:37.398-07:00หลักภาษาไทย<span style="color: red;"><u>หลักภาษาไทย</u></span><br />
<br />
<span style="color: blue;">ความหมายของภาษา</span> <br />
<span style="background-color: white; color: magenta;">คำว่า “ ภาษา” เป็นคำภาษาสันสฤต แปลตามรูปศัพท์หมายถึงคำพูดหรือถ้อยคำ ภาษาเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ใช้ในการสื่อความหมายให้สามารถสื่อสารติดต่อทำความเข้าใจกันโดยมีระเบียบของคำและเสียงเป็นเครื่องกำหนด ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ให้ความหมายของคำว่าภาษา คือ เสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ คำพูดถ้อยคำที่ใช้พูดจากัน</span><br />
<br />
<br />
<span style="color: blue;">ภาษา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ </span><br />
<span style="color: magenta;">ภาษาที่เป็นถ้อยคำ เรียกว่า “ วัจนภาษา” เป็นภาษาที่ใช้คำพูดโดยใช้เสียงที่เป็นถ้อยคำสร้างความเข้าใจกัน นอกจากนั้นยังมีตัวหนังสือที่ใช้แทนคำพูดตามหลักภาษาอีกด้วย</span> <br />
<br />
<span style="color: magenta;">ภาษาที่ไม่เป็นถ้อยคำ เรียกว่า “ อวัจนภาษา” เป็นภาษาที่ใช้สิ่งอื่นนอกเหนือจากคำพูดและตัวหนังสือในการสื่อสาร เช่น การพยักหน้า การโค้งคำนับ การสบตา การแสดงออกบนใบหน้าที่แสดงออกถึงความเต็มใจและไม่เต็มใจ อวัจนภาษาจึงมีความสำคัญเพื่อให้วัจนภาษามีความชัดเจนสื่อสารได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากท่าทางแล้วยังมีสัญลักษณ์ต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาใช้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจ อีกด้วย</span> <br />
<br />
<br />
<span style="color: red;"><u>ความสำคัญของภาษา</u></span> <br />
<br />
<br />
<span style="background-color: white; color: magenta;">ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารของมนุษย์ มนุษย์ติดต่อกันได้ เข้าใจกันได้ก็ด้วยอาศัยภาษาเป็นเครื่องช่วยที่ดีที่สุด </span><br />
<span style="background-color: white;"><br />
<span style="color: magenta;"></span></span><br />
<span style="background-color: white; color: magenta;">ภาษาเป็นสิ่งช่วยยึดให้มนุษย์มีความผูกพันต่อกัน เนื่องจากแต่ละภาษาต่างก็มีระเบียบแบบแผนของตน ซึ่งเป็นที่ตกลงกันในแต่ละชาติแต่ละกลุ่มชน การพูดภาษาเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน มีความผูกพันต่อกันในฐานะที่เป็นชาติเดียวกัน </span><br />
<span style="background-color: white;"><br />
<span style="color: magenta;"></span></span><br />
<span style="background-color: white; color: magenta;">ภาษาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ และเป็นเครื่องแสดงให้เห็นวัฒนธรรมส่วนอื่นๆของมนุษย์ด้วย เราจึงสามารถศึกษาวัฒนธรรมตลอดจนเอกลักษณ์ของชนชาติต่างๆได้จากศึกษาภาษาของชนชาตินั้นๆ </span><br />
<span style="background-color: white;"><br />
<span style="color: magenta;"></span></span><br />
<span style="background-color: white; color: magenta;">ภาษาศาสตร์มีระบบกฎเกณฑ์ ผู้ใช้ภาษาต้องรักษากฎเกณฑ์ในภาษาไว้ด้วยอย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์ในภาษานั้นไม่ตายตัวเหมือนกฎวิทยาศาสตร์ แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของภาษา เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ตั้งขึ้น จึงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยตามความเห็นชอบของส่วนรวม </span><br />
<span style="background-color: white;"><br />
<span style="color: magenta;"></span></span><br />
<span style="background-color: white; color: magenta;">ภาษาเป็นศิลปะ มีความงดงามในกระบวนการใช้ภาษา กระบวนการใช้ภาษานั้น มีระดับและลีลา ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆหลายด้าน เช่น บุคคล กาลเทศะ ประเภทของเรื่องฯลฯ การที่จะเข้าใจภาษา และใช้ภาษาได้ดีจะต้องมีความสนใจศึกษาสังเกตให้เข้าถึงรสของภาษาด้วย </span><br />
<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><br />
</div><br />
<br />
<br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div>นำชัย-วสันต์http://www.blogger.com/profile/03694417100975162525noreply@blogger.com0